วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ENTERTRAIN 14 เรื่องแปลกแต่จริงในญี่ปุ่น

1. ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน คนญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม (เป็นระเบียบสุดยอดเลย)



2. การให้บริการลูกค้าในญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก หากไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ ก็จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ
หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส่งลูกค้าไปจนลับสายตา เพราะถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงาน จะถือว่าเสียมารยาท


3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือ การกระโดดให้รถไฟทับตายแต่รู้มั้ยว่าถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล เพราะถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่ง เพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟ และต้องสูญเสียรายได้ (จะตายทั้งที ก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะ ทางที่ดีอย่าตายดีกว่า)



4.ห้ามฟังเพลงจากหูฟัง ในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน เพราะทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลง ถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ


5. รวมถึงการซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อน ก็ห้ามซ้อน เพราะตำรวจอาจเรียกได้ เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้ แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก
(หนุ่มสาว อดซ้อนสวีทกันเลยล่ะสิ)


6.ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมาจรจัด มีแต่แมวจรจัด ซึ่งก็มีน้อยมากๆ เพราะหมาจรจัด หรือที่ถูกทอดทิ้ง จะถูกเทศบาลจับไปหมด ได้ยินว่าถูกเอาไปฆ่าด้วย สงสารน้องหมาอ่ะ T^T


7. ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย สองวันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม (หรือทางร้านจะเก็บไว้ให้) เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้วเห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า แขวนตามต้นไม้ เพราะคนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับที่มีคนทำตกเพื่อให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ (ที่ไทย สองวินาทีหายเรียบ 5555 )



8. ของแฮนด์เมดที่ญี่ปุ่น ราคาแพงมากกกกกกกกกก คนจะยกย่องและฮือฮามาก ถ้าคุณทำของแฮนด์เมดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด



9. คนท้องจะมีแท็กจากโรงพยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้อง และจะได้บริการให้เป็นพิเศษ เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน (เพราะบางคนก็อ้วนไง)



10. ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น จะไม่มีห้องหมายเลข 4 เพราะถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า ตาย


11. ร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมาทานในร้าน แม้กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11



12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี (ดีจัง)



13. เวลาทิ้งขยะที่เป็นขวดกล่องน้ำหรือนม จะต้องล้างขวดหรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง เพราะหากทิ้งลงไปทั้งอย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น (สุดยอดๆ)


14. สามารถยืนอ่านหนังสือโป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ ไม่มีใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาด (555555 จะดีเหรอ) นึกแล้วก็อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งนึง ^^ 


 ที่มา:lonely-rooyung.com

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การตั้งถิ่นฐารบนดาวอังคารในปี 2024

 
   สวัสดีครับ นี่ก็เป็นบทความบทที่ 4 ที่จะมานำเสนอ บทนี่เกี่ยวกับโปรเจค Mars one ที่จะเกิดขึ้นในปี 2024(มีการคิดโครงการมาตั้งแต่ปี 2012) ซึ่งเป็นโครงการที่จะพามนุษย์โลก ไปใช้ชีวิที่ดาวอังคารและพวกเขาจะไม่มีวันได้กลับมาที่โลกอีกเลย อาจฟังดูน่ากลัวแต่หลังจากที่ Mars one ได้ประกาศรับสมัคผู้รับการคัดเลือกเพื่อไปใช้ชีวิตบนดาวอังคาร(จนแก่เม่าและตายที่รั้ร)แล้วกลับมีผู้สมัคกว่า 200,000 คนเลยทีเดียว
   
   ต่อไป เป็นโฉมหน้าผู้ที่จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคาร อันไกลโพ้น
เริ่มจาก
Ryan คือนักศึกษาวิชาฟิสิกส์จากอังกฤษ

เรื่องราวคร่าวๆ ของ Ryan

1.เขาสามารถไล่ค่าของ Pi ได้ 90 หลัก (ง่ายมั้ย?, 3.14…, ไม่ง่ายละ!)
2.Ryan ไม่เคยมีความต้องการทางเพศ ไม่เคยจูบใคร ซึ่งหลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นข้อดี แต่…ถ้าจะสร้างอาณานิคมที่นู่น ไม่จำเป็นต้องแพร่พันธุ์หรอ?
3.เมื่อตอน Ryan อายุ 2 ขวบ เขากับพี่สาวถูกพ่อทิ้งไป และนั่นคือช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดของเขา การขึ้นไปดาวอังคารครั้งนี้ ก็เหมือนกับการทิ้งทุกคนไป ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ยาก
4.เหตุผลที่ทำให้เขาอยากไปตามหาชีวิตบนดาวอังคาร เพราะนั่นถือเป็นความสำเร็จ และเขาจะถูกจดจำไปตลอด

Dina จบวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เป็นชาวอิรัก-อเมริกัน

เรื่องราวคร่าวๆ เกี่ยวกับ Dina

1.ตอนที่เธอทิ้งครอบครัวเธอมาจากอิรัก เธอรู้สึกว่านั่นคงเป็นการจากกันตลอดกาล และการเดินทางไปดาวอังคาร คงเป็นประสบการณ์ที่คล้ายกัน
2.เธอเชื่อว่าความรัก เป็นความต้องการทางอารมณ์เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เธอเชื่อ หรือจำเป็น เพราะฉะนั้น เธอไม่ต้องการคู่รัก
3.ถามเธอว่า คนที่อยากไปกับ Mars One นี่ต้องบ้าหรือไม่… เธอบอกว่าก็บ้าพอๆ กับคนที่อยากแต่งงานมีลูกนั่นแหละ

Jeremias เป็นหมอจาก Mozambique

เรื่องราวคร่าวๆ ของ Jeremais

1.เขาเชื่อว่าโลกนี้มีปัญหาที่แก้ไม่ได้ และเราควรเริ่มต้นใหม่ ที่ดาวแห่งใหม่

2.ถ้าเขาตกหลุมรักก่อนการเดินทาง เขาบอกว่าคงเป็นปัญหา เพราะเขาควบคุมไม่ได้ แต่เขาจะพยายามหยุดความรู้สึกนั้น

และเมื่อพวกเขาทั้ง 3 คน ถูกถามว่า "การตายบนดาวอังคารคุ้มมั้ย?"
และนี่คืนสิ่งที่เขาพูด

Ryan บอกว่า แค่ได้คิด และมองกลับมาว่าสิ่งที่ผมทำมันสำคัญแค่นั้นก็คุ้มแล้ว


Dina บอกว่า ตายที่ไหนไม่สำคัญ จะที่นี่ หรือที่นู่น ทำไมคุณถึงตาย สำคัญมากกว่า และถ้าฉันตายที่ดาวอังคาร มันถือเป็นความสำเร็จของฉัน



Jeremias บอกว่า มันมีสิ่งที่ผมกลัว จากการใช้ชีวิตที่นี่ของผม แต่ผมไม่กลัวความตาย

และนี่คือสารคดีสั้นๆ ที่ The Guardian และ Stateless Media ตามติด 3 ผู้เข้าแข่งขันสุดท้ายนี้ เรามาดูไปพร้อมๆ กันเลย!


และนี่คือ ผู้หญิงคนแรกที่คิดอยากจะคลอดลูกบนดาวอังคาร


   เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ  รายงานว่า นักศึกษาหญิงชาวอังกฤษ เผยอยากเป็นมนุษย์คนแรกที่คลอดลูกบนดาวอังคาร หลังเธอผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 ผู้สมัครที่จะเข้าไปลุ้นว่าจะได้ร่วมโครงการไปลองสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารของ Mars One แบบเดินทางไปแต่ไม่กลับ

   นักศึกษาสาวรายนี้เธอมีชื่อว่า แม็คกี้ หลิว อายุ 24 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม เธอได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในผู้ที่จะเข้าไปลุ้นเดินทางสร้างอาณานิคมบนดาวอังกฤษ แต่แม็คกี้ไม่ได้อยากจะไปเหยียบดาวอังคารเท่านั้น เธออยากจะเป็นมนุษย์คนแรกแห่งมวลมนุษยชาติที่ให้กำเนิดลูกบนดาวอังคารเลยทีเดียว

   "ฉันคิดว่ามันน่าตื่นเต้นมาก ๆ เลยนะที่จะให้กำเนิดลูกบนดาวอังคาร เพราะลูกก็จะได้เป็นมนุษย์ดาวอังคารตัวจริง ฉันไม่รู้หรอกว่าลูกจะได้สัญชาติไหน เพราะมันไม่มีประเทศอะไรเลยบนดาวอังคาร และไม่มีใครรู้ว่าแรงดึงดูดที่ต่ำนั้นจะมีผลอะไรกับทารกในครรภ์หรือเปล่า บางทีเด็กอาจจะไม่สมบูรณ์ก็ได้ ฉันไม่รู้ว่ามันจะเวิร์กไหม แต่ถ้าคุณอยากสร้างอาณานิคมบนนั้น คุณก็ต้องให้กำเนิดลูกหลานนะ" แม็คกี้ หลิว กล่าว

   อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้วโครงการ Mars One จะคัดเลือกผู้สมัครให้เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพื่อส่งไปดาวอังคารพร้อม ๆ กับนักบินอวกาศ และเบ็ดเสร็จแล้ว โครงการนี้จะส่งนักบินและอาสาสมัครไปรวมแล้ว 24 คนเท่านั้น โดยมีกำหนดเดินทางในปี 2024

ขอบคุณ
hilight.kapook.com
patjaa.com

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พยานาค กับ ตำนานป่า คำชะโนด

 ประเทศไทยมีสิ่งลี้ลับและตำนานมากมาย ที่รอผู้ไขคำตอบ ล่าสุดกับตำนานป่าคำชะโนด เกาะลอยน้ำที่ไม่เคยจม ที่เขาเล่ากันว่าเกี่ยวพันกับตำนานของพญานาค 
           

ขอบคุณรูปภาพจาก www.wehugram.com

          คำชะโนด ป่าลี้ลับที่เป็นเหมือนเกาะลอยน้ำ ที่เรียกชื่อนี้เพราะมีต้นชะโนดขึ้นเต็มไปหมด และในหน้าฝน รอบๆ เกาะ น้ำจะท่วมทุกปี แต่ที่คำชะโนดไม่ท่วม ดูเหมือนว่า เกาะนี้จะลอยขึ้นตามน้ำอีกด้วย ส่วนเรื่องเล่าที่ชาวบ้านเล่ากันนั้น เชื่อว่ามีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า “ปล่องพญานาค” เคยมีคนนำไม้ไผ่ลำยาวๆ 3 ต้นมาต่อกัน แล้วหยั่งลงไป ปรากฏว่า ยังไม่ถึงพื้นเลย แต่แปลกที่ว่า เมื่อโยนเหรียญลงไป จะมองเห็นเหรียญได้หมด น้ำใสมาก ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาค ได้ออกมาจากปล่องนี้



           และยามที่มีบั้งไฟพญานาคบางครั้งก็จะมีลูกไฟลอยขึ้นมาจากสระน้ำแห่งนี้เช่นเดียวกัน สร้างความประหลาดใจกับชาวบ้านมานักต่อนักแล้ว อีกประการหนึ่งคือที่สระน้ำแห่งนี้จะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายว่า มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างหายใจอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านเขาก็เชื่อว่าพญานาคท่านหายใจออกมา


ขอบคุณรูปภาพจาก topicstock.pantip.com

          ส่วนปาฏิหาริย์เกิดขึ้นใน ปี พ.ศ.2519 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง  แต่น้ำไม่ท่วมคำชะโนด และมีคนให้คำตอบไว้ว่า ที่น้ำไม่ท่วมเพราะพญานาครักษาไว้ เนื่องจากมีศาลบูชาพญานาค 2 ท่าน โดยนาคบริวารช่วยกันร่ายมนตร์แล้วหนุน ดุน ดัน แผ่นดิน เป็นเหตุให้สูงขึ้นจนพ้นน้ำนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก

news.boxza.com

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทรายดูด ดินดูด ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ทรายดูด ดินดูด ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด(แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี 555)
เราคงเคยเห็นกันอยู่บ่อยๆในภาพยนตร์หรือการ์ตูนที่ตัวละครต้องจบชีวิตลงในบ่อทรายดูด แท้จริงแล้วทรายดูดมันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมันดูดเราลงไปได้อย่างไร

ศาสตราจารย์แดเนียล บอนน์ นักฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ยืนยันว่า คนเราไม่สามารถจมลงไปในทรายดูดได้อย่างสมบูรณ์ได้  แม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะติดอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาลก็ตาม เพราะจากการทดลองและคำนวณแรงพยุงอย่างง่ายแล้ว จะพบทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจมลงไปทั้งตัว (report in journal Nature)
ทรายดูด ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 4 อย่างคือ ทราย น้ำ โคลน และเกลือ เมื่ออยู่ในภาวะปกติไม่ได้ถูกรบกวน ส่วนประกอบทั้งสี่จะประกอบเป็นโครงสร้างที่เกือบจะเป็นของแข็งอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าหากมีสิ่งรบกวน เช่น มีใครเหยียบลงไปมันก็จะกลายเป็นของเหลวเกือบสมบูรณ์แบบเช่นกัน
บอนน์และทีมงาน ได้ศึกษาทดลองเกี่ยวกับทรายดูด โดยการวัดแรงหนืด ความต้านทานของไหล และความสามารถในการจมของทรายดูด และพบว่าคนซึ่งต่อให้ไม่รู้จักวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องเมื่อจมลงในทรายดูดก็จะจมไปได้เพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาจะไม่สามารถจมลงได้อีก
เรื่องที่น่าตกใจเกี่ยวกับการทดลองทรายดูดไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะจมทรายดูดตาย แต่เป็นเรื่องที่ว่ามันต้องใช้พลังงานสูงมากในการถอดรองเท้าออกจากทรายดูด เพราะแรงที่เราจำเป็นต้องใช้การเอาขาของเราออกจากทรายดูดนั้นมากถึง 100,000 นิวตัน ซึ่งเป็นแรงที่มากพอๆกับที่ต้องใช้ในการยกรถยนต์คันหนึ่งขึ้นจากพื้น
ดังนั้น การที่จะฉุดลากคนขึ้นจากทรายดูด จะต้องใช้แรงมหาศาล แต่หากเราเผลอตกลงไปในบ่อทรายดูด ก็ไม่ต้องตกใจ ทำตัวให้กว้างในแนวขวาง เหมือนว่ายน้ำ ค่อยๆว่ายไป เราก็จะหลุดออกจากทรายดูดได้เอง
ทรายดูด มีลักษณะเป็นบ่อ ด้านบนเป็นทรายหรือดินที่ละเอียดเป็นเม็ดๆ ส่วนด่านล่างมีชั้นของน้ำแทรกอยู่ เมื่อทรายหรือดินด้านบนแห้งก็จะไม่ยืดหยุ่น มีความแข็งแรงพอที่จะเดินผ่านไปได้ แต่หากชั้นน้ำที่อยู่ด้านใต้เกิดแทรกซึมขึ้นมาที่ทรายหรือดินด้านบน จะเกิดความยืดหยุ่น หรือลื่นไหลจนเป็นของเหลว ทำให้เมื่อเดินไปเหยียบแล้วจะเกิดการยุบตัวลง ร่างกายของเราจึงหล่นตามลงไปด้วย และคล้ายกับถูกดูดเอาไว้ไม่ให้ขึ้นมาได้ง่ายๆ หากเรายิ่งดิ้นรนหรือตะเกียกตะกายขึ้นมาจากบ่อทรายดูด แรงที่เราดิ้นจะยิ่งทำให้ตัวของเราจมลง แต่หากเราปล่อยตัวนิ่งๆ ความหนาแน่นของร่างกายเราจะน้อยกว่าความหนาแน่นของบ่อทราย ทำให้ร่างกายเราลอยขึ้นได้เอง

ทรายดูดเกิดจากน้ำที่ผสมกับทราย  ทำให้อนุภาคของทรายเกิดการเลื่อนตัวได้เร็วขึ้น  ภาษาอังกฤษจึงเรียกทรายที่เลื่อนตัวอย่างรวดเร็วนี้ว่า Quicksand
เมื่อทรายชุ่มน้ำ   มันจะเปลี่ยนสภาพของทรายให้เป็นของเหลวและไหลตัวได้ง่าย  ในกรณีที่เป็นบ่อขนาดใหญ่  เรียกว่า บ่อทรายดูด  แต่น้ำที่มากมายเพื่อทำให้ทรายจำนวนมหาศาลเป็นทรายดูดจะได้จากที่ไหน  มีความเป็นไปได้ 2  วิธีที่จะเกิดบ่อทรายดูดขนาดใหญ่ได้
  • น้ำใต้ดิน ที่พุ่งทะลักจากพื้นใต้โลก ผสมเข้ากับเม็ดทรายข้างบน
  • แผ่นดินไหว การสั่นสะเทือนของแผ่นดิน ช่วยให้เกิดการผสมและคลุกเคล้าของน้ำกับทรายได้เป็นอย่างดี
การผสมระหว่างดินทรายกับน้ำ ลดแรงเสียดทานระหว่างเม็ดทราย  และเปลี่ยนสภาพของเม็ดทรายให้เป็นของเหลว  ซึ่งเป็นเหตุให้ของหนักที่ตั้งอยู่บนทรายจมลงได้   หรือเมื่อเกิดแผ่นดินไหว  ตึกทั้งหลังที่ตั้งอยู่บริเวณที่มีน้ำใต้ดินผ่าน  และเป็นดินทราย อาจจมทั้งหลังได้  กรณีโคลนถล่มก็เป็นเช่นเดียวกัน  เมื่อฝนตกลงมามาก ดินคลุกเคล้าเข้ากับน้ำซึ่งจะเปลี่ยนสภาพเป็นโคลน และไหลได้ง่าย
ต่อไปเป็นสถานที่ที่เกิดบ่อทรายดูด
  • ริมตลิ่ง
  • ชายหาด
  • ริมทะเลสาบ
  • หนองบึง  และที่เฉอะแชะ
ให้ท่านทดลองไปเดินชายหาด ริมทะเล  ถ้าท่านเดินอยู่บนทรายแห้ง  ความแห้งจะทำให้ทรายไหลตัวได้ยาก  ท่านจึงยืนอยู่ได้
แต่ถ้าท่านไปยืนชายหาดใกล้กับทะเล   ยังไม่ถึงน้ำทะเล จะสังเกตว่าทรายเปียก  และแน่นกว่าทรายแห้ง    บริเวณนี้สามารถนำทรายมาก่อประสาททรายขึ้นได้
ส่วนบริเวณชายหาดที่โดนน้ำเต็มๆ  เม็ดทรายจะชุ่มน้ำ และเลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว    ในหน้าถัดไปถ้าท่านตกลงไปในทรายดูดจะหนีได้อย่างไร
จะทำยังไงถ่าโดนดูดลงไปในทรายดูด
ถ้าเผอิญท่านตกลงไปในบ่อทรายดูด   ไม่ต้องตกใจ  รอสักครู่ท่านจะได้ทราบเองว่าควรทำอย่างไร
ร่างกายของคนปกติ มีความหนาแน่นเฉลี่ย  1  กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร  ขณะที่บ่อทรายดูด มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำคือประมาณ  2  กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร  นั่นก็หมายความว่า ท่านสามารถลอยอยู่เหนือทรายดูดได้ดีกว่าน้ำ  ดังนั้นท่านไม่ต้องตกใจ  คุมสติให้มั่น  ไม่ต้องดิ้นรน ยกไม้ยกมือ เหมือนกับว่ายน้ำ  เพราะมันจะทำให้ท่านยิ่งจมลงไป
ให้ท่านหงายศีรษะขึ้นฟ้า  และเอนตัวนอนหงาย  เหมือนนอนเล่น  ท่านก็จะไม่จม  ถัดไปค่อยๆเลื่อนตัวไปเพื่อจับยึดต้นไม้ หรือขอนไม้
แต่ถ้าตัวของท่านจมลงไปแล้วจนเกือบถึงเอวต้องใช้วิธีนี้
ท่านต้องเลื่อนตัวอย่างช้าๆ  พยายามก้าวขาขึ้นมาที่ผิวของทรายอย่างช้าๆ  อย่าก้าวเร็ว  เพราะการก้าวเร็ว ทำให้เกิดสุญญากาศขึ้นที่เท้า  และจะดูดตัวท่านให้จมลงเร็วขึ้นไปอีก   การก้าวอย่างช้าจะช่วยลดความหนืด  ขณะเดียวกันให้ท่านเพิ่มพื้นที่ผิว โดยการกางแขนให้มากที่สุด  ช่วยให้ท่านลอยอยู่ได้
ตอนนี้ถ้าท่านเจอกับทรายดูด  ก็จะทราบแล้วว่าควรทำอย่างไร ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว  เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดที่น่าจะเป็นก็คือ  ท่านจะต้องล้างเท้าครั้งใหญ่เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำงานผ่านเน็ต มีจริงหรือไม่

   เพื่อนๆคงเคยได้เห็นได้ยินกันมามาก สำหรับเรื่องการทำงานผ่านเน็ตที่ว่า แค่มีมีเวลาว่างวันล่พ 2-3 ชั่วโมง สามาารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ ก็สามารถหารายได้ให้ตัวเองได้อาทิตย์ละ 3000-5000 บาท เคยสงสัยมั๊ยว่ามันคืออะไร ทำไม่ได้เงินเยอะจัง ถูกกำหมายรึป่าว วันนี้ผมจะมาบอกให้เพื่อนๆได้รู้ความจริงกันครับ
   เริ่มจากผมเป็นคนที่ใช้เงินเยอะมากๆ ผมเรียนอยู่หาดใหญ่ แม่ให้เงินสัปดาห์ล่ะ 2000บาท (ถ่าให้เป็นเดือนกลัวหมด555) ซึ้งแน่นอนว่ามันไม่ค่อยพอใช้เท่าไหร่ เลยไปหากระทู้ทำงานผ่านอินเตอร์วันล่ะ 2-3 ช.ม. ได้สัปดาห์ล่ะ 3000-5000 บาท (โอ้โหๆเยอะกว่าที่ผมได้ค่าขนนเป็นเท่าตัว) ผมเลยไปสมัคสมาชิค ตอนเปิดไปหน้าเว็ปเห็นเป็นหน้าโล้งๆมีข้อคามให้เรากรอกไม่กี่อน่างสำคัญที่เบอร์โทร ชื่อ สกุล ที่อยู่ รายละเอียดต่างๆของงานก็ไม่บอก ผมก็เอาว่า ใส่ที่อยู่ปลอมๆชื่อปลอม(เผื่อไว้) แต่ให้เบอร์ดทรจริงๆไป ผ่านไปครึ่งวันก็มีคนโทรมาหาถามว่าว่า ได้ไปสมัคทำงานผ่านอินเตอร์ไว้มั๊ย ผมก็บอกว่าใช้ ก็บอกที่ ที่อยู่ ที่ใช้สมัคไป แล้วผมก็ถามไปว่า งานที่ทำเป็นงานอะไร ทำไมไม่มีรายละเอียดที่หน้าเว็ป เค้าตอบว่า เป็นงานพิมเอกสารออนไลน์ ถ่าเราทำเยอะก็ได้เยอะ ทำน้อยก็ได้น้อยแต่ขั้นต่ำที่ทำได้ก็อยู่ประมาณ 3000 บาทต่อสัปดาห์ ผมก็ถามแล้วผมต้องทำอะไรบ้าง เค้าตอบมาว่า ต้องโอนเงินไปให้เค้าค่าเอกสาร 900บาท(คิดในใจ900บาทเลยเหรอ) ตอนนั้นเริ่มรู้ตัว แต่ก็น่ะ ด้วยความโลภ เลยตกลงโอนเงินไปให้ แล้วพอผมโอนเงินไป เค้าก็บอกว่า(สรุปน่ะ) เนี่ยจริงๆแล้วงานที่ทำคือหลอกให้คนโอนเงินมาให้พอได้เงินแล้วก็เอาเงินที่ได้ไปแบ่งกันในสาย(คล้ายๆสายของการขายตรง บวกกับ แชร์ลูกโซ่) หลังจากรู้ความจริงผมนี่ น้ำตาบแทบไหลเลย 555555555555(หัวเราะให้กับความโง่ของตัวเอง) เสียค่าโง่ไปประมาณ 1000 บาท แต่ก็ได้ประสบการณ์กลับมา(ไม่รู้ว่าคุ้มรึป่าว5555) หลังจากนั้นผมก็เลิกไม่ยุ่งกับมันอีกเลย ผมเคยคิดจะไปหลอกคนอื่นต่อน่ะ แต่มันผิดและที่สำคัญกลัวโดนจับ 5555 งานนี้หัวโตเลยทีเดียว
   สุดท้ายนี้ผมก้ขอบคุณทุกคนมากน่ะครับ ที่เข้ามาอ่านบทความของผม นี่เป็นบทความแรกของผม แน่นอนว่ามันต้องขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว ก็ขออภัยมาน่ะที่นี่ด้วยน่ะครับถ่ามีอะไรที่ผิดพลาด
ปล.สามารถแสดงความคิดเห็นได้ครับ จะชม จะด่า ตามสบายเลย ^^